ขั้นตอนการพิมพ์สติ๊กเกอร์และการเตรียมไฟล์

ชิ้นงานจะออกมาดีหรือไม่นั้น ขึ้นอยู่กับการพิมพ์เป็นหลัก

การพิมพ์สติ๊กเกอร์ ขั้นตอนกระบวนการทำมีความสำคัญ ปัญหาส่วนใหญ่ของการพิมพ์งานนั้น คือ สีผิดเพี้ยนออกไป, ข้อความไม่คมชัด, ภาพเบลอ ฯลฯ ดังนั้น การควบคุมขั้นตอนต่างๆ จึงควรต้องเข้าใจและจัดทำอย่างถูกต้อง

ขั้นตอนการพิมพ์สติ๊กเกอร์ มีดังนี้

ขั้นตอนการหาความต้องการ และข้อสรุปของความต้องการ
พิมพ์สติ๊กเกอร์ ลูกค้าย่อมต้องทราบอยู่ก่อนแล้ว ถึงจุดประสงค์การนำสติ๊กเกอร์นั้นไปใช้งาน เช่น ทำฉลากสินค้าไปติดขวดสินค้าที่เป็นขวดพลาสติก หรือขวดแก้ว, การพิมพ์สติ๊กเกอร์ซีทรูไปปิดกระจกหน้าร้าน, การพิมพ์โลโก้สินค้าไปติดกล่องกระดาษที่บรรจุสินค้า การพิมพ์สติ๊กเกอร์ติดรถบริษัทเพื่อการโฆษณา ซึ่งหมายความว่า นอกจากคุณจะทราบว่า จะทำชิ้นงานอะไรแล้ว ยังต้องบอกได้ด้วยว่า จะเอาไปใช้งานอย่างไร ที่ไหน วัสดุอะไร เพื่อการเลือกวัสดุในการพิมพ์สติ๊กเกอร์ได้ถูกต้อง เหมาะสมกับการใช้งานนั้น เพราะหากนำไปใช้ผิดคุณสมบัติ อาจทำให้งานชิ้นนั้นเสียหายและเปล่าประโยชน์ เช่น ต้องการพิมพ์ฉลากสินค้าบนสติ๊กเกอร์กระดาษ แต่นำไปใช้ติดบนขวดแชมพู ซึ่งการใช้งานมักจะเปียกน้ำได้เสมอ สติ๊กเกอร์กระดาษอาจเปื่อยยุ่ยเพราะการเปียกน้ำได้

ขั้นตอนการเตรียมไฟล์พิมพ์สติ๊กเกอร์

ขั้นตอนการเตรียมไฟล์งาน หรือข้อมูลที่จำเป็นสำหรับส่งให้บริษัทที่จัดพิมพ์สติ๊กเกอร์ทำไฟล์ให้
หากคุณสามารถใช้คอมพิวเตอร์ และโปรแกรมออกแบบต่างๆ ที่สามารถทำไฟล์งานสติ๊กเกอร์เองได้ อาจต้องสอบถามหรือหาข้อมูลเพิ่มเติมอีกเล็กน้อย ในการจัดทำไฟล์งานที่ถูกต้องสำหรับการส่งให้ทางบริษัท ซึ่งตรงนี้จะอธิบายเพิ่มเติมด้านล่าง หรือสามารถติดต่อสอบถามได้ค่ะ เพราะเครื่องพิมพ์สติ๊กเกอร์แต่ละรูปแบบ หรือแต่ละยี่ห้อ อาจมีขั้นตอนแตกต่างกันอยู่บ้าง แต่หากคุณไม่สามารถจัดทำไฟล์เองได้ ทางบริษัท มีทีมออกแบบและทีมกราฟิกที่จะสามารถจัดทำไฟล์งานที่ถูกต้องให้คุณได้ด้วยเช่นกัน

หากเป็นเช่นนั้น ลูกค้าอาจต้องเตรียมข้อมูลที่จำเป็นต่อการทำชิ้นงานนั้นๆ เพื่อแจ้งมาใช้ประกอบการจัดทำ เช่น

• ต้องการทำงานอะไร
• มีไฟล์หรือตัวอย่างโลโก้ที่ชัดเจนให้ดราฟหรือไม่ หรือต้องการสร้างขึ้นมาใหม่
• สีที่จะใช้ มีการกำหนดสีที่แน่นอนตาม CI (Corporate Identity) ของบริษัทหรือไม่ หากมี ต้องแจ้งรหัสสีที่ต้องการ หรือตัวอย่างสีที่ต้องการมาให้ด้วยนะคะ
•  ข้อมูลต่างๆ ที่ต้องการใส่ลงไปในชิ้นงาน เช่น ข้อมูลที่จำเป็นต่างๆ ของฉลากสินค้า, รูปที่ต้องการใช้ ,ไฟล์ภาพสินค้า, โลโก้สินค้า, หรือฟ้อนต์ที่ต้องการ
•  ขนาดและรูปแบบของชิ้นงาน ซึ่งเป็นสิ่งที่จำเป็นที่ลูกค้าต้องทราบและแจ้งได้ เช่น ต้องการทำฉลากสินค้า ลูกค้าต้องวัดขนาดของแพคเกจสินค้า หรือขนาดที่ต้องการเมื่อวางบนแพคเกจสินค้า แต่หากเป็นการพิมพ์สติ๊กเกอร์ติดรถยนต์ หรือการพิมพ์สติ๊กเกอร์ติดกระจก อาคาร ซึ่งยุ่งยากต้องการการวัดขนาด ก็สามารถแจ้งให้ทางบริษัทส่งทีมติดตั้งเข้าไปวัดขนาดให้ได้ค่ะ เพื่อความถูกต้องแม่นยำ
•  ข้อกำหนดที่ต้องการ เช่น สินค้าที่ต้องการทำฉลากนั้นเป็นสินค้าอะไร เปียกน้ำหรืออยู่ในที่แห้ง, ติดบนพื้นผิวแบบไหน กระจก ปูน หรือไม้, คุณภาพงานพิมพ์ระดับที่ต้องการ เช่น ต้องการงานที่ความละเอียดสูงๆ เพราะตัวอักษรที่ใช้ในงานมีขนาดเล็ก (เป็นข้อมูลสำคัญสำหรับการเลือกวัสดุการพิมพ์ที่สามารถรองรับงานพิมพ์ความละเอียดสูง), จำนวนที่ต้องการ (เป็นข้อมูลสำหรับการเลือกวิธีการพิมพ์ เช่น ต้องการพิมพ์จำนวนไม่มากนัก ก็สามารถใช้เครื่องพิมพ์ระบบอิงค์เจ็ท หรือดิจิตอลออฟเซ็ท แต่หากต้องการงานพิมพ์จำนวนมาก ก็อาจใช้งานพิมพ์ระบบออฟเซ็ต), ระยะเวลาการใช้งาน (เป็นข้อมูลสำหรับการเลือกหมึกพิมพ์ ถ้าเป็นระยะสั้นๆ อาจใช้หมึกระดับคุณภาพปกติ ซึ่งมีอายุการใช้งานก่อนซีดจางได้ดีในระยะเวลาหนึ่ง แต่หากต้องการการติดแน่น คงทน อาจใช้หมึกคุณภาพสูงกว่า เช่น หมึก Latex ที่มีอายุการใช้งานตั้งแต่ 3-10 ปี ขึ้นไป ตามสภาพแสงและอากาศในพื้นที่ติดตั้ง

ขั้นตอนการพิมพ์ชิ้นงานหรือพิมพ์สติ๊กเกอร์

เครื่องพิมพ์แต่ละชนิด แต่ละรูปแบบ อาจมีความแตกต่างกัน และใช้เวลาต่างกัน หากต้องการงานที่รวดเร็ว อาจใช้เครื่องพิมพ์ดิจิตอลออฟเซ็ท หรือเครื่องพิมพ์ Epson SuperColor S80670 ที่หมึกแห้งไว ใช้ระยะการเซ็ตตัวไม่นานนัก แต่คุณภาพหมึกอาจไม่ดีที่สุดเท่าเครื่องพิมพ์ HP Latex 800W ที่ใช้หมึก Latex Gen 4 คุณภาพสูงสุด และสามารถรองานได้เลย หมึกไม่ต้องเชตตัว พิมพ์แล้วสามารถนำไปไดคัท หรือจัดส่งลุกค้าได้เลย และคุณภาพหมึกจะดีที่สุด ได้ทั้งภายในและภายนอก และสามารถอยู่กลางแดดจัดๆได้ 3 ปี ก่อนนำไปเคลือบหรือเข้าเครื่องไดคัท หรือหากเป็นการพิมพ์ระบบออปเซ็ท อาจใช้เวลานานกว่านั้นในการเตรียมการพิมพ์ แต่เมื่อถึงขั้นตอนการพิมพ์งานจริงแล้ว สามารถพิมพ์ได้อย่างรวดเร็วและลื่นไหล เหมาะกับการพิมพ์งานจำนวนมาก เพราะขั้นตอนพิมพ์ใช้เวลาต่อชิ้นงานเร็วกว่ามาก

ขั้นตอนการทำให้งานพิมพ์สติ๊กเกอร์เสร็จสมบูรณ์

หากงานพิมพ์สติ๊กเกอร์นั้นต้องใช้การไดคัทเป็นรูปทรงต่างๆ เมื่อผ่านขั้นตอนการพิมพ์และเคลือบแล้ว จึงจะมาถึงขั้นตอนเข้าเครื่องไดคัท ซึ่งหากเป็นการไดคัทแบบมีรายละเอียดสูง อาจต้องการเวลาในการไดคัทมากกว่าปกติ จึงต้องเผื่อเวลาไว้กับขั้นตอนนี้อยู่บ้าง หากเป็นการพิมพ์จำนวนมาก หรือแม้แต่การไดคัทแบบครึ่งหรือเต็ม 100% ก็มีผลแตกต่างกันด้วยเช่นกัน เพราะการไดคัทแบบครึ่ง (ใช้ใบมีดไดคัทครึ่งระดับ เพื่อตัดเฉพาะส่วนของสติ๊กเกอร์ด้านบน ไม่กินไปถึงเนื้อกระดาษรองสติ๊กเกอร์ จะเร็วกว่าและสะดวกต่อการจัดเก็บชิ้นงานได้มากกว่า รวมทั้งการนำไปใช้งานของสติ๊กเกอร์นั้นจะง่ายต่อการแกะใช้งานได้มากกว่าอีกด้วย ถ้าเทียบกับการไดคัทแบบตัดขาดให้ชิ้นงานออกมาเป็นชิ้นๆ ลองนึกภาพตามดูก็ได้นะคะ หากลุกค้าต้องการพิมพ์โลโก้เป็นวงกลมขนาด 1 หมื่นดวง หากพิมพ์และไดคัทครึ่งลงบนสติ๊กเกอร์ขนาด A3 ได้แผ่นละ 50 ดวง ทางบริษัท สามารถส่งงานให้ลูกค้าเป็นแผ่นในซองที่ดูเรียบร้อย ที่ 200 แผ่น แต่หากใช้การไดคัท 100% ลูกค้าจะได้ชิ้นงาน ขนาดเล็กๆ 10,000 ชิ้น ซึ่งจะสร้างปัญหาในการจัดเก็บได้พอสมควร

อีกรูปแบบของการทำให้งานสติ๊กเกอร์เสร็จสมบูรณ์คือการติดตั้ง
หากเป็นงานสติ๊กเกอร์ติดตกแต่งอาควรหรือติดบนกระจก การติดตั้งก็เป็นอีกขั้นตอนที่สำคัญมาก เพราะจำเป็นต้องใช้การทำงานแบบมืออาชีพจริงๆ เช่น การติดตั้งสติ๊กเกอร์ติดรถ ซึ่งมีเหลี่ยมมุม ความโค้ง ความนูนที่อาจใช้เครื่องเป่าลมร้อนช่วยทำให้สติ๊กเกอร์ขยายตัวให้ยืดหยุ่นเพียงพอ การตัดแต่ง การเซาะ การเจาะ การไล่ฟองอากาศ ซึ่งต้องใช้ความรู้และประสบการณ์แบบมืออาชีพจริงๆ ในการทำ

การเตรียมไฟล์พิมพ์สติ๊กเกอร์

หากลูกค้ามีความรู้และความเข้าใจในการทำงานโปรแกรมกราฟิกที่จำเป็นสำหรับการทำไฟล์สติ๊กเกอร์ ก็สามารถเรียนรู้เพิ่มเติมในองค์ประกอบที่จำเป็นแบบเฉพาะทางสำหรับการทำสติ๊กเกอร์ได้ในขั้นตอนนี้ค่ะ

1. ค่าสีของไฟล์งาน ต้องเป็นค่าโหมดสีแบบ CMYK เท่านั้น เพื่อการเทียบเคียงสีที่ชัดเจนและถูกต้อง และใช้กับเครื่องพิมพ์ได้ทุกระบบ หากลุกค้าส่งไฟล์งานที่เป็นค่าโหมดสีแบบ RGB เมื่อต้องเปลี่ยนโหมดสีเป็น CMYK อาจทำให้สีของภาพที่ลุกค้าทำ กับงานพิมพ์จริง ผิดเพี้ยนไปได้ง่ายมาก โดยเฉพาะบางเฉดสี เช่น สีฟ้าหรือน้ำเงิน

2. ขนาดของรูปภาพที่ใช้ในงาน หากเป็นงานพิมพ์ระบบออฟเซ็ท รูปภาพที่ใช้ในงาน หากเทียบที่ขนาดจริง ควรมี Resolution ที่ 300dpi และหากเป็นงานพิมพ์ที่ระบบดิจิตอล หรืออิงค์เจ็ท ถ้าเป็นชิ้นงานขนาดไม่ใหญ่นัก ควรมีความละเอียดที่ 200dpi ขึ้นไป หรือหากชิ้นงานใหญ่ขึ้นมาหน่อย ดูระยะไกลขึ้นมาอีกนิด อาจเริ่มต้นที่ 150dpi ได้ หรือหากเป็นงานพิมพ์ขนาดใหญ่ เช่น สติ๊กเกอร์ติดกระจก ติดอาคาร อาจใช้ความละเอียดที่ต่ำกว่านั้นได้ ตามระยะการมอง ซึ่งขึ้นอยู่กับขนาดและระยะระหว่างตามองไปถึงตัวชิ้นงาน เช่น

งาน ขนาด 6 เมตร x 6 เมตร ซึ่งไม่สามารถตั้งค่าขนาดจริงในหน้าโปรแกรม Illustrator ได้ จึงอาจปรับขนาดไฟล์ลงมาเป็น

A. 50% ที่ 3 เมตร x 3 เมตร (หรือ 1: 2) หรือ
B. 25% ที่ 1.50 เมตร x 1.5 เมตร (หรือ 1:4) หรือ
C. 10% 60 ซม. x 60 ซม. (หรือ 1:10)

เพื่อความสะดวกในการทำงาน รูปภาพที่ใช้ประกอบไฟล์งานก็เช่นกัน หากใช้ขนาดจริงที่คุณภาพสูงสุดตามขนาดด้านบน (สมมุติว่าเป็นรูปภาพทั้งชิ้นงาน) หรือขนาด 6 เมตร x 6 เมตร ที่ 300dpi จะมีขนาดไฟล์ = 14gb ซึ่งมหาศาลเกินกว่าเครื่องจะรับไหวแน่ๆ และไม่มีความจำเป็น ดังนั้นอาจต้องลดขนาดไฟล์ลงมา

A. 100% = 6 เมตร x 6 เมตร 300dpi = 14gb
B. 50% = 3 เมตร x 3 เมตร 300dpi = 3.51gb
C. 25% = 1.5 เมตร x 1.5 เมตร 300dpi = 898mb
D. 10% = 60 ซม. x 6 ซม. 300dpi = 143mb
E. 10% = 60 ซม. x 6 ซม. 250dpi = 100mb
F. 25% = 1.5 เมตร x 1.5 เมตร 100dpi = 100mb

ตามตัวอย่าง จะเห็นได้ว่า พิมพ์สติ๊กเกอร์ขนาดไฟล์ที่สามารถทำได้จริงและเครื่องคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลพอรับไหว คือขนาดตามข้อ E และข้อ F หรืออาจเล็กกว่านั้นได้อีกเล็กน้อย สัก 10-20 % เพราะการมองในระยะไกล ไม่จำเป็นต้องเป็นไฟล์ที่ความละเอียดสูงมากนักก็พอจะมองออกได้และไม่แตกจนเสียคุณภาพ หรือหากแม้เครื่องคอมพิวเตอร์จะมีความสามารถทำได้ที่ขนาดประมาณ ข้อ C ก็ไม่มีความจำเป็นและสิ้นเปลืองพื้นที่ของเครื่องไปโดยเปล่าประโยชน์

3. หากเป็นชิ้นงานขนาดเล็ก เช่น สติ๊กเกอร์ฉลากสินค้า, โลโก้สินค้า ต้องทำไฟล์งานในโหมดสีแบบ CMYK (หากเป็นไฟล์จาก Illstrator ทางบริษัทฯ ขอเป็นไฟล์ CS 6 เพื่อการรองรับกับซอฟท์แวร์ของเครื่องพิมพ์นะคะ) โดยมีรายละเอียดต่างๆ ดังนี้ค่ะ

A. หากเป็นงานที่มีการตัดตรงเป็น 4 เหลี่ยม สามารถทำไฟล์งานขนาดจริง โดยไม่จำเป็นต้องแนบไฟล์เส้นไดคัทมาด้วย
B. หากเป็นงานที่ปูสีพื้นต้องทำเผื่อตัดตกเพิ่มจากขอบงานอย่างน้อย 3 มิลลิเมตร โดยวางเส้นขนาดงานจริงทับเป็นเส้นไดคัทสีฟ้า C100 (หากเป็นการไดคัทรูปทรงฟรีฟอร์ม) หรือสร้างเส้นมาร์คตัดบริเวณมุมทั้ง 4 (หากเป็นงานทรง 4 เหลื่ยมปกติ)
C. ในชิ้นงาน การวางภาพที่สำคัญ ข้อความ หรือโลโก้ ควรวางในตำแหน่งห่างจากขอบตัดงานอย่างน้อย 3 มิลลิเมตร
D. หากต้องการงานพิมพ์สีดำในพื้นที่ขนาดใหญ่ (ถ้าเป็นเพียงเส้นหรือตัวอักษรอาจไม่จำเป็น เพราะเส้นมีขนาดเล็ก) ควรผสมสีอื่นลงไปในสีดำ (K100) เช่น (C 40 K100) เพื่อให้ได้สีดำที่เข้มขึ้น เพราะสีดำ K100 เพียงอย่างเดียว อาจให้ค่าความดำได้ไม่เต็มที่ (โดยเฉพาะงานพิมพ์แบบออฟเซ็ท)
E. การสร้างเส้นไกด์สำหรับตัด (รูปทรงฟรีฟอร์ม) สามารถสร้างเส้นสีฟ้า C100 และวางลงบนตำแหน่งที่ต้องการตัดได้เลย โดยแยกเลเยอร์สำหรับวางเส้นไดคัทต่างหากจากกราฟิกอื่นๆ (ถ้าไม่มีการแก้ไขอะไรเพิ่มเติม กราฟิกส่วนอื่นอาจรวมเลเยอร์ไว้เพียง 1 เลเยอร์ แยกกันกับเลเยอร์ของเส้นไดคัท)
F. การพิมพ์ตัวหนังสือลงในไฟล์ หากเป็นไฟล์จากโปรแกรม Illustrator ควรทำการ Creat Outline ตัวหนังสือให้เรียบร้อย เพื่อความไม่ผิดเพี้ยนจากการมี font ไม่ตรงกันกับเครื่องที่ใช้พิมพ์งาน หากไฟล์เป็นไฟล์ภาพ .PSD ที่แยกเลเยอร์ตัวอักษรที่พิมพ์ขึ้นมาในโปรแกรม Photoshop ต้องรวมเลเยอร์ตัวอักษรนั้นให้กลายเป็นรูปภาพด้วยเช่นเดียวกันกับ Illustrator
G. การกำหนดขนาดของเส้น ไม่ควรเล็กกว่า 0.1 มิลลิเมตร และน้ำหนักสีของเส้น ไม่ควรอ่อนเกินไป
H. การพิมพ์ตัวหนังสือ หากพิมพ์และส่งไฟล์งานด้วยโปรแกรม Illustrator (อาจฝั่งรูปหรือแนบรูปภาพมา) และ Creat outline ให้เรียบร้อย ตัวหนังสือจะคมชัด ขอบไม่เบลอเท่ากับการพิมพ์มาจากโปรแกรม Photoshop
I. การใส่โลโก้หรือกราฟิกที่สำคัญก็เช่นกัน หากเป็นกราฟิกเวคเตอร์จากโปรแกรม Illustrator จะคมช้ดกว่ากราฟิกและโลโก้ที่ทำจาก Photoshop
J. การกำหนดขนาดชิ้นงานให้ลงตัว เป็นตัวเลขที่ชัดเจน เช่น 3 ซม., 15 ซม. จะง่ายและไวต่อการคำนวนราคางานพิมพ์

ส่วนขั้นตอนการวางไฟล์อย่างไร ให้ประหยัดเนื้อที่สติ๊กเกอร์ หรือหากลูกค้าไม่ต้องการความยุ่งยากในการจัดทำไฟล์ในขั้นตอนด้านบน ทางบริษัทสามารถจัดทำไฟล์ให้กับลุกค้าได้ค่ะ (มีค่าใช้จ่าย) และยินดีให้คำปรึกษาในทุกขั้นตอนค่ะ